Monthly Archives: February 2013

ดูแลผิวหลังออกแดด

สาวๆทุกคนคงจะกังวลเวลาที่ต้องออกไปเจอแสงแดดเป็นเวลานานๆอาจจะทำให้ผิวของสาวๆหม่องคล้ำได้

วันนี้เรามีวิธีมาบอกให้สาวๆได้รู้กันฮันแน่..อยากรู้แล้วใช่ใหมมาๆดูกัน

1. ปรับอุณหภูมิผิวหลังโดนแดดเผา

ใช้ผ้าขนหนูที่แช่เย็นหรือชุบน้ำเย็นประคบ ตรงบริเวณที่โดนแดดเผาค่ะ เพื่อให้อุณหภูมิของผิวหนังในบริเวณนั้นกลับมาเป็น ปกติ ค่อยๆ ทำซ้ำ กันไปหลายๆ ครั้ง

2. เลี่ยงการถู ด้วยสบู่ล้างหน้า

ถ้าผิวบริเวณ ใบหน้าโดนแดดเผา ควรจะเลี่ยงการใช้สบู่หรือครีมล้างหน้าต่างๆ แล้วใช้เพียงน้ำสะอาดแทนค่ะ และระหว่างนี้ถึงจะอยากแต่งหน้าปกปิด แค่ไหนก็ขอแนะนำว่า NG!! No Good เพื่อป้องกันการระคายเคืองกับผิวที่ตอนนี้บอบบางเป็นพิเศษ อาจจะทำให้อาการแย่ลงได้นะคะ

3. จนกว่ารอยไหม้จากแดดจะดีขึ้น ลดการใช้เครื่องสำอางและสารบำรุงผิวต่างๆ ไว้ก่อน

สาวๆ หลายคนพอโดนแดดมากๆ ก็มักรู้สึกอยากจะหันไปพี่งเครื่องสำอางจำพวก Whitening ทันที แต่ระหว่างที่ผิวยังอยู่ในสภาพการโดนเผา เครื่องสำอางเหล่านี้อาจจะยิ่งซ้ำเติมรอยแผลและการฟื้นฟูผิวได้ อดใจรอหน่อยให้เวลาผิวได้ปรับตัวให้ดีขึ้นก่อน

4. เมื่อรอยไหม้จากแดดดีขึ้นแล้ว เร่งเติมน้ำให้กับผิว

หลังจากโดนแดดเผา ปริมาณน้ำใต้ผิวจะลดลงอย่างมาก ค่ะ พอสภาพรอยไหม้เริ่มดีขึ้นระดับหนึ่ง ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเติมน้ำให้กับผิวอย่างเร่งด่วน ลงโทนเนอร์และมอยส์เจอไรเซอร์บำรุง ผิวให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า เพื่อคอยเติมน้ำให้ผิวอย่างเพียงพอ

5. ปกป้องน้ำในผิว การเกิดฝ้ากระ

เมื่อผิวกลับ เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ให้บำรุงผิวเพิ่มเติมด้วย Lotion หรือ Serum ที่มีความสามารถในการปกป้องความชุ่มชื่นในผิวสูง โดยเฉพาะสารบำรุงที่มีส่วนผสมในการช่วยยับยั้งการขยายตัวของเม็ด สีเมลานิน อย่างเช่น ส่วนผสมของ Vitamin C หรือว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจำพวก Whitening ก็จะช่วยปกป้องการเกิดฝ้าและกระให้กับผิวได้ดีขึ้นค่ะ พร้อมกับกลับมาแต่งหน้าสวยได้ตามปกติ

แต่ถ้าสาวๆ คนไหน ไม่อยากต้องมานั่งดูแลผิว หลังโดนแดดแบบนี้ ก่อนออกแดด อย่าลืมของสำคัญสามสิ่งนี้

เตรียมตัวก่อนออกแดด
・ครีมกันแดด
・หมวก ร่ม
・แว่นกันแดด

สาวๆอย่าแค่ลงครีมกันแดดกันแต่เช้าแล้วเลิกใส่ใจครีมกันแดดไปเลยนะคะ!!! เพราะเวลาผ่านไป ความสามารถในการปกป้องผิวของ สารกันแดดก็จะลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน แถมยังเจอทั้งเหงื่อและคราบไขมัน ต่างๆ  ต้องคอยหมั่นเติมครีมกันแดดกันบ่อยๆ ตลอด ทั้งวันค่ะ !

ดังนั้นถ้าออกไปเที่ยวไม่ว่าภูเขา ทะเล หรือกลางแจ้ง ต้องเตรียมแว่นกันแดดสีจางที่สามารถตัดรังสี UV ได้ไปด้วยนะคะ ห้ามลืมเด็ดขาดค่ะ

ถ้าใครมีแพลนจะไปเที่ยวหรือออกกลางแจ้ง ซัก 1-2 สัปดาห์ก่อนหน้า อย่าลืมเพิ่ม Vitamin C ให้กับร่างกายด้วยนะ คะ เพราะจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ให้ร่างกายเราต่อสู้กับรังสี UV ได้ดีขึ้นด้วยค่ะ

นอกจากนั้น ต้องปกป้องดวงตาจากแสงแดดด้วยเพราะถ้าดวงตาได้รับแสง UV ผิวของเราจะเกิดฝ้าและกระได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ!!

Url=http://www.idoo-d.com/webboard/index.php?PHPSESSID=3d26ecfeda0328ca16617d20a07236da&topic=979.0

วิธีลดความอ้วน สำหรับสาวอยากผอม

ความอ้วนกับสาว ๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งถ้าเกิดใครมาทักว่า “นี่เธอดูอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย” คงจะถึงขั้นตัดเพื่อนตัดพี่น้องกันเลยทีเดียว อิอิ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะวันนี้เรารวบรวม สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วน ภายในช่วงเวลาที่เราต้องการ ตั้งแต่ 3 วัน ถึง 1 เดือน มาฝากสาว ๆ ด้วย ว่ามี สูตรน้ำหนัก อะไรน่าสนใจน่าลองทำดูบ้างรับรองว่าเห็นผลกันอย่างแน่นอนจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพฟติกรรมการกินของเราว่าจะอดทดที่จะไม่กินของที่ทำให้เราอ้วน

มาๆดูกันซิ

เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ค่ะ โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้

 วันที่ 1

 มื้อเช้า : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์
 มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
 มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 2

 มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
 มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
 มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 3

 มื้อเช้า : โยเกิรต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
 มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
 มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

 วันที่ 4

 มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
 มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
 มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 5

 มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
 มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
 มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 6

 มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
 มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา
 มื้อเย็น : นมสด

 วันที่ 7

 มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก
 มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
 มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

ส่วนวันที่แปด มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น สามารถรับประทานอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มรับประทานเหมือนที่ทำตั้งแต่วันแรกค่ะ

Url=http://health.kapook.com/view3335.html

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

หลายๆคนเคยคิดไหมว่าอาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันมีประโยชน์ตอร่างกายคุณหรือว่ามีโทษต่อร่างกาย

มาดูกันสิว่า10สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวันมันมีประโยชน์อย่างไร

อยากรู้แล้วใช่ใหมว่ามีอะไรบ้างมาๆดูกัน

เบอร์รี่

 1. เบอร์รี่

แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

 2. ไข่ไก่

ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

  3. ถั่ว

ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

  4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์

เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม

 5. ส้ม

เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

 6. มันเทศ

อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

  7. บร็อคโคลี่

เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

  8. ชา

แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

  9. คะน้า

มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

  10. โยเกิร์ต

อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ

Url=http://health.kapook.com/view16463.html

อาหาร 9 อย่าง ที่ไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิด

อาหาร 9 อย่าง ที่ไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิด (Woman Plus)

หลาย ๆ คนอาจจะปักใจเชื่อว่า ขนมปัง เนย นม ชีส หรือ ช็อกโกแลต เป็นตัวการทำให้อ้วนแน่นอน แต่เราขอบอกว่า จริง ๆ แล้ว คุณสามารถกินของพวกนี้ได้โดยไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิดเลยล่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพ และช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ด้วยบางครั้งอารหารจำพวกนี้อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อร่างกายของคุณด้วยซ้ำ

ต่อไปก็ไม่ต้องกังกลว่ากินอาหารจำแล้วทำให้อ้วนควรคิดใหม่ได้แล้วค่ะ

มาๆมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
 1.ขนมปัง

ไม่ได้ทำให้อ้วนอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอกค่ะ เพราะการที่คุณกินขนมปังโฮลวีตแผ่นบาง ๆ สัก 2-3 แผ่น โดยไม่ทาเนย หรือแยม จะช่วยให้อิ่มท้องได้นาน และไม่เกิดอาการหิวอยู่บ่อย ๆ

 2.ช็อกโกแลต
ใครบอกว่ากินช็อกโกแลตแล้วอ้วน ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับประเภทของช็อกโกแลตแต่ละชนิดต่างหากล่ะ เพราะยังมีช็อกโกแลตที่มีไขมันต่ำอย่าง ดาร์ก ช็อกโกแลต ให้เลือกกินยังไงล่ะ

 3.นมและผลิตภัณฑ์จากนม
จากการศึกษาพบวา คนที่กินโยเกิร์ตไขมันต่ำ และนมพร่องมันเนยจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 22%เลยทีเดียว แถมยังลดไขมันในร่างกายได้ถึง 61% และลดไขมันหน้าท้องได้อีก 81% ภายในระยะเวลาเพียง 12 สัปดาห์เท่านั้น (เห็นไหม น่าสนไหมล่ะ)

อะโวคาโด

 4.อะโวคาโด
ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีไขมันสูงก็ตาม แต่ไขมันนั้นก็เป็นชนิด Monounsaturated นะจ๊ะ ซึ่งดีต่อสุขภาพเรามาก ๆ เพราะมีสารต้านแอนตี้ออกซิแดนท์อย่าง Glutathione ซึ่งจะไปบล็อกการดูดซึมไขมันบางตัวที่เป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันริ้วรอย และมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

 5.น้ำตาล
การดื่มชาหวาน ๆ หรือขนมรสหวานจะช่วยระงับความหิวลงได้ แต่จะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ ถ้าไม่อยากให้อ้วน ซึ่ง 1 วัน คุณควรรับน้ำตาลเข้าไปเพียง 4 ช้อนโต๊ะเท่านั้น (ข้อมูลนี้ไม่รวมถึงน้ำตาลที่อยู่ในนมและผลไม้นะจ๊ะ)

 6.มันฝรั่ง
เป็นที่รู้อยู่แล้วว่า มันฝรั่งมีคาร์โบไฮเดรตสูงมาก ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ้วน แต่จริง ๆ แล้วไม่เลยค่ะ กลับทำให้ผอมลงซะอีก เพราะมันจะช่วยทำให้เราอิ่มท้องได้นาน โดยไม่รู้สึกนึกอยากกินจุบกินจิบขึ้นมายังไงล่ะ

ถั่ว

 7.ถั่ว
ถึงแม้ว่าถั่วจะมีไขมันอยู่ถึง 50% เลยทีเดียว แต่ไขมันที่ว่านี้มีไขมันเลวผสมอยู่น้อยมาก ๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งกินจึงยิ่งดีต่อสุขภาพ สำหรับปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน ไม่ควรกินถั่วเกิน 1 กำมือของตัวคุณเอง ไม่เช่นนั้น ความอ้วนจะถามหาเอาได้ค่ะ

 8.ชีส
จะอ้วนหรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่กินต่อวันค่ะ ถ้าคุณเลือกกินชนิด Cheddar หรือ Blue Vein จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีไขมันสูง แต่ถ้าคุณเลือกกิน Fetta, Ricotta และ Cottage Cheese ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีไขมันต่ำก็ไม่ทำให้อ้วนกันหรอกค่ะ

 9.กล้วย
หลาย ๆ คนเชื่อว่าการกินกล้วยจะยิ่งทำให้อ้วน แต่จริง ๆ แล้วไม่เลยค่ะ เพราะถึงแม้จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าผลไม้อื่น ๆ ก็ตาม แต่มันมีค่า Glycaemic Index (GI) อยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าต่ำ มีผลให้ระดับอินซูลินโดยรวมต่ำลง ทำให้รู้สึกอิ่มนานและยืดเวลาความอยากอาหารออกไปค่ะ

Url=http://health.kapook.com/view44983.html

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลกมีความอุดมสมบูรณ์

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอย่างมากและยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่คงสภาพป่าไว้ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่ง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดลำปาง 38 กม.ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลวังเงินถนนลำปาง-เดินชัย เลี้ยวขวาเข้าไป 500 เมตร เป็นหมู่บ้านท่องเทียวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมสูงและเป็นแหล่งที่ดำเนินงาน ตามแนวพระราชดำรัสในการใช้พลังงานน้ำธรรมชาติมาประยุกต์การดำเนินงานอย่างสอดคล้องเป็นประโยชน์และ เพื่อเป็นการ ส่งเสริมการอนุรักษ์และการรักษาสภาพแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืนบริเวณ อุทยานฯมีธารน้ำแร่ ที่เต็มไปด้วยโขดหินธรรมชาติที่สวยงามบริเวณโขดหินที่แซกอยู่ท่ามกลางแอ่งน้ำร้อน น้ำแร่ ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 70 – 80 องศาเซลเซียส สามารถแช่ไข่ให้สุกได้ภายใน 15 นาที ไข่จะมีลักษณะไข่แดงสุกไข่ขาวสุกไม่แข็งจะ เหมือนมะพร้าวอ่อน เมื่อนำมาปรุงเป็น “ ยำไข่แช่น้ำแร่ ” ร่อยยิ่งนัก บริเวณน้ำตกแจ้ซ้อนและ อุทยานแห่ง ชาติแจ้ซ้อนห่างกันประมาณ1กิโลเมตร ธารน้ำจากน้ำตกแจ้ซ้อนไหลมาบรรจบกับธารน้ำร้อนจากน้ำแร่ กลายเป็น ธารน้ำอุ่น ทางอุทยานฯจึงสร้างที่อาบน้ำแร่ขึ้นอย่างมาตรฐานเพื่อบริการแก่นักท่องเที่ยวเพื่อจะได้มาแช่น้ำแร่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนได้รับรางวัล “อุทยานแห่งชาติดีเด่นประจำปี 2543 ” ตามที่กรมป่าไม้ได้จัดงานวัน สถาปนากรมป่าไม้ครบรอบ 104 ปี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2543 โดยได้จัดประกวดอุทยานแห่งชาติ ดีเด่นด้านการ ท่องเที่ยวประจำปี 2543 นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนนอกจากจะได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Awards) ปี 2543 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดเยี่ยมในด้านการออกแบบ สิ่งอำนวยความ สะดวกใน อุทยานฯ ได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติแล้ว สภาพแวดล้อมภายในอุทยานฯ ยังตกแต่งได้อย่าง สวยงามไม่แพ้รีสอร์ท เอกชน เหมาะสำหรับผู้ที่จะไปเที่ยวแบบครอบครัว สามารถเที่ยวได้ตลอดปี

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ

1.บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน 
เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยา มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ จำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่รวมกันในบริเวณ พื้นที่ที่ ทำการอุทยานฯประมาณ 3 ไร่ ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอน้ำลอย กรุ่นขึ้นมาจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณ น้ำพุร้อนมีอุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียส เป็นที่นิยมนำไข่ไก่และ ไข่นกกระทามา แช่สำหรับไข่ไก่แช่นานประมาณ 17 นาที ไข่แดงจะแข็งมีรสชาติมันอร่อย ส่วนไข่ขาวจะเหลว คล้ายไข่เต่า
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
2.น้ำตกแจ้ซ้อน 
เป็นน้ำตกที่กำเนิดจากลำน้ำแม่มอญ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีแอ่งน้ำรองรับอยู่ตลอดสาย ไหลตกลงมาเป็นชั้น ๆ มี 6 ชั้นอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 1 กิโลเมตร มีทางเดินไปสะดวกและมามารถเดินจากบ่อน้ำพุร้อนไปถึงน้ำตก
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
3.น้ำตกแม่มอญ 
เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลแรงจากชะง่อนผาสูงลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง น้ำจะตกลมาเป็นช้น ๆ สวยงาม ไม่เหมาะแก่การ เล่นน้ำอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตร
4.น้ำตกแม่ขุน 
อยู่ใกล้กับน้ำตกแม่มอญ มีลักษณะเป็นน้ำตกสายยาว สูงประมาณ 100 เมตร ไหลลงมาบรรจบกับน้ำตกแม่มอญ ต้องเดินเท้าจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำทาง
5.ถ้ำผางาม 
ห่างจากที่ว่าการอำเภอวังเหนือ 8 กิโลเมตร อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ฯ ที่ แจ้ซ้อน 3 (ผางาม) หน่วยนี้อยู่ห่างจากที่ ทำี่การอุทยานฯ 60 กิโลเมตร มีถ้ำที่สามารถเข้าไปศึกษาและท่องเที่ยวได้ เช่น ถ้ำฟางาม ถ้ำน้ำ ถ้ำหม้อ เป็นต้น
6.ชมดอกกระเสี้ยวบาน 
ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธุ์ของทุกปี ดอกเสี้ยวจะบานเต็มผืนป่า นักท่องเที่ยวสามารถขับรถชมดอกเสี้ยวบานได้ตามเส้นทางแจ้ซ้อน-บ้านป่าเหมี่ยง เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร
7.แอ่งน้ำอุ่น 
ตั้งอยู่ติดกับบ่อน้ำพุร้อน เป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของน้ำพุร้อนและน้ำเย็นที่มาจากน้ำตก แจ้ซ้อนทำ ให้้เกิดเป็นน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิเหมาะแก่การแช่อาบ
8.ห้องอาบน้ำแร่ 
มีทั้งห้องอาบแช่ สำหรับ 3-4 คน ห้องรวมแบบตักอาบและบ่อสำหรับแช่อาบกลางแจ้ง น้ำแร่ที่ใช้ต่อท่อโดยตรงมา จากบ่อน้ำพุร้อน มีอุณหภูมิน้ำแร่ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถใช้แช่อาบได้ ประโยชน์ของ การอาบน้ำแร่คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนัง บางชนิดได้ เช่น กลาก เกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคเกี่ยวกับกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่ สามารถใช้ดื่มได้ เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
9.เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน
ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยเส้นทางจะผ่านจุดสื่อความหมาย 19 จุด ผ่านสภาพป่าและพรรณไม้ที่น่าสนใจหลายชนิด รวมถึงอาจพบสัตว์หายากอย่างนกเขนเทาหางแดง และ ปลาปุงแห่งลำห้วยแม่มอญ เป็นเส้นทางที่เหมาะสำหรับเยาวชนผู้สนใจศึกษาพรรณไม้ต่าง ๆ เช่น ต้นก๋ง กวาวเครือ หรือ ยางปาย ศึกษาระบบนิเวศน์ เช่น วงจรชีวิตหนอนรถด่วน และสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบลานน้ำพุร้อน เช่น อะไรทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อน ทำไมน้ำพุร้อนทำให้ไข่แดงสุกแต่ไข่ขาวเหลว หรือจั๊กจั่นน้ำแร่ เป็นอย่างไร (จั๊กจั่นน้ำแร่จะมีชุกในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) แอ่งอาบน้ำอุ่นนี้เกิดจากน้ำร้อนในบ่อน้ำพุร้อนมาบรรจบ กับน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน สำหรับอุทยานฯ ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจาก โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งจะอยู่ในเส้นทางนี้ ด้วย สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 60 กิโลวัตต์ ผู้สนใจสามารถขับรถขึ้นไปดูได้ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะสภาพทางค่อนข้างเละและชัน
10.เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแม่เปียก
ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร เป็นเส้นทางวงรอบเลียบริมห้วยแม่เปียก ผ่านจุดสื่อความหมาย 16 จุด ใช้เวลา เดินประมาณ 3 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางจะได้รับความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์ การนำทรัพยากรจากป่ามาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันยาง สารพัดประโยชน์ที่นำมาใช้กับเครื่องยนต์จนถึงทำน้ำมันใส่แผล ไผ่ข้าวหลาม ที่มีเปลือกบางเผา ง่าย เมี่ยง(ชา) ที่ใบอ่อนจะนำมานึ่งแล้วหมักทำเป็นเมี่ยงนิยมรับประทานเป็นของว่างใช้ต้อนรับแขก ทางภาคเหนือ ของไทยยอดอ่อนนำมาอบแห้งแล้วชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นชา ซึ่งเมี่ยง(ชา)จะมีสารคาเฟอีนออกฤทธิ์เช่นเดียว กับกาแฟ แหย่ง ใบใช้ห่ออาหารแทนใบตอง หรือนำลำต้นไปตากให้แห้งแล้วสานเป็นเสื่อ หรือแม้แต่การสร้าง ฝายน้ำล้น ที่นำไปผลิต ไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อใช้ภายในอุทยานฯ ระหว่างเส้นทางถ้าโชคดีอาจพบ หมูป่า และเต่าปูลู ที่มีลักษณะไม่เหมือนเต่าทั่วไปและกำลังจะสูญพันธ์ เต่าปูลูมีหางยาวหัวและขาไม่สามารถหดในกระดอง เหมือน เต่าทั่วไป มีความสามารถในการปีนป่ายและกินสัตว์จำพวกปูหรือปลาเป็นอาหาร ในเส้นทางจะพบน้ำตกวังไฮ และน้ำตกแม่เปียกซึ่งน้ำตกแม่เปียกอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 3 กิโลเมตร มีชั้นน้ำตก 3 ชั้น และชั้นที่ 3 จะมีความสวยงามที่สุดโดยมีความสูงประมาณ 100 เมตร ด้านล่างบริเวณแอ่งรองรับน้ำจากน้ำตกจะมีกล้วยป่าขึ้น ปกคลุมอยู่ทั่วไปทำให้มีความงามไปอีกมุมมองหนึ่ง
Url=http://www.paiduaykan.com/76_province/north/lampang/jeason.html

สาเหตุของการเกิดสิว

เรามาดูสาเหตุที่ทำให้เิกิดสิว

การเกิดสิว

ต่อมขุมขนของคนเราประกอบไปด้วยส่วนต่างๆได้แก่

  • ต่อมไขมันหรือ Sebaceous gland
  • รากขนหรือ Follicle
  • ไขมันหรือ Sebum
  • และมีรูเปิดหรือเรียกว่า pore สู่ผิวหนัง

การเกิดสิวเกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันมาก และมีการอุดกลั้นทางเดินของไขมัน ทำให้สิวซึ่งอาจจะเป็นสิวหัวขาว หรือหัวดำก็ได้ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิว เช่นเป็นหนอง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้แก่

  • ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี
  • การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว
  • มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน
  • แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว
  • กรรมพันธ์
  • การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
  • อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
  • อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
  • อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
  • การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
  • ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
  • การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด

ตำแหน่งที่เกิดสิว

1
ตำแหน่งที่เกิดสิวได้แก่บริเวณที่ไขมันมากได้แก่ หน้า ไหล่ หลัง อก

Url=http://siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/acne_cause.html#.SAeMWB0nJWU

สิวบอกโรค บอกอารมณ์และโรคร้าย

สิวเป็นอะไรที่ทุกคนไม่อยากมีเพราะมันทำให้ใบหน้าของเราไม่สาว

คุุณคงไม่เคยว่าการมิสิวจะบ่งบอกอารมณ์และโชคร้ายได้

          ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป  โดยแบ่งส่วนใบหน้า  ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน

Face Mapping
สิวบอกโรค

          สิวบอกโรค : โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

สิวบอกโรค : โซนที่ 2  สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป 


สิวบอกโรค : โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง

สิวบอกโรค : โซนที่ 5 และโซนที่ 9  บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

สิวบอกโรค : โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

สิวบอกโรค : โซนที่ 7  ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด

สิวบอกโรค : โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน

สิวบอกโรค : โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด

สิวบอกโรค : โซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง

Url=http://health.kapook.com/view1637.html

ประวัติความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีซึ่งตรงกับวันที่5 ธันวาคมของทุกปี

ประวัติความเป็นมามีดังนี้

ความเป็นมา


วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อขึ้นแห่งชาติ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคมที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็น “วันพ่อแห่งชาติ”

กิจกรรมวันพ่อแห่งชาติจัดติดต่อกันทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2523 โดยการริเริ่มของนายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา คุณหญิงเนื้อพิทย์ เสมรสุตสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันพ่อได้แก่ ดอกพุทธรักษาซึ่งมีชื่ออันเป็นมงคล

 

พระราชประวัติ


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ รัฐแมสซาชูเซตส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ซึ่งเหตุที่พระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่นั่น

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ ตะละภัฎ (ชูกระมล) (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนน ในกาลต่อมา) มีพระนามขณะนั้นว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า “เล็ก”

พระนาม “ภูมิพลอดุลเดช” นั้น พระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า “Bhumibala Aduladeja” ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า “ภูมิบาล”ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า “ภูมิพลอดุลเดช” ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว “ย” สะกดตราบปัจจุบัน

พระนามของพระองค์มีความหมายว่า

  • ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า “แผ่นดิน” และ พล หมายความว่า “พลัง” รวมกันแล้วหมายถึง “พลังแห่งแผ่นดิน”
  • อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า “ไม่อาจเทียบได้” และ เดช หมายความว่า “อำนาจ” รวมกันแล้วหมายถึง “ผู้มีอำนาจที่ไม่อาจเทียบได้”

เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา

 

การศึกษา


พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้สี่พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด พร้อมด้วยพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศสภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ “โรงเรียนแห่งใหม่ของซืออีสโรมองด์” (ฝรั่งเศส: École Nouvelle de la Suisse Romande, เอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออีส โรมองด์) เมืองแชลลี-ซูร์-โลซาน (ฝรั่งเศส: Chailly-sur-Lausanne)

เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรีพระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช” เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย เป็นเวลา 2 เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึงปี พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนยิมนาส คลาซีค กังโตนาล แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง

 

พระราชกรณียกิจ พระรานิพนธ์ และผลงานอื่น


ด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี

ในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในศิลปะแขนงต่าง ๆ หลายแขนง จึงทรงได้รับการยกย่องให้เป็นองค์อัครศิลปินแห่งชาติและบิดาแห่งการดนตรี พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการฝึกเขียนภาพ และมีพระปรีชาสามารถในเรื่องการถ่ายภาพ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีพระปรีชาสามารถปั้นพระพุทธรูปพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง

งานทางด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเชี่ยวชาญในภาษาหลากหลายภาษา ทรงพระราชนิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน เรื่อง ทองแดง เป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง เป็นต้น

ด้านการพัฒนาชนบท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทุกหนแห่งไม่ว่าดินแดนแห่งนั้นจะทุรกันดารเพียงใด ไม่ว่าใกล้ไกลแค่ไหน พระองค์จัดทำโครงการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริควบคู่ไปในทุกๆ ด้าน ไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง พระองค์มีจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อขจัดความทุกข์ยากของชาวชนบท และสนับสนุนส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาสังคมเมืองให้ดีขึ้น โดยจะเห็นได้จากโครงการในพระราชดำริหลายโครงการที่เกิดขึ้นจากความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจะเป็นโครงการเกี่ยวกับปรับปรุงถนนหนทาง การก่อสร้างถนนเพื่อการ สัญจรไปมาได้สะดวกและทั่วถึง การคมนาคมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ สำคัญของการนำความเจริญไปสู่ชนบท การสื่อสาร ติดต่อที่ดียังผล สำคัญทำให้เศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ดีขึ้น ราษฎรก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในการพัฒนาชนบทนั้น การคมนาคม เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่จะมองข้ามไปเสียมิได้ เพราะเป็นเสมือนประตูเชื่อม ระหว่างในเมือง และชนบท ดังนั้น การที่จะเริ่มโครงการพัฒนาใดๆ นั้นจะต้องเริ่มจากการปรับปรุง และการก่อสร้างถนนหนทางเป็นการเปิดประตูนำความเจริญเข้าไปสู่พื้นที่

ด้านการเกษตรและชลประทาน

ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นในเรื่องของการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชใหม่ๆ ทั้งพืชเศรษฐกิจ พืชสมุนไพร รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืช และพันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง มีราคาถูก ใช้เทคโนโลยีง่าย ไม่สลับซับซ้อน เกษตรกรสามารถดำเนินการเองได้ นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะอาจเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือความแปรปรวนทางการตลาด แต่เกษตรกรควรจะมีรายได้จากด้านอื่นนอกเหนือไปจากการเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง

การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทานนับว่าเป็นงานที่มีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประชาชนส่วนใหญ่
ของประเทศเพราะเกษตรกรจะสามารถทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปีเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอก
เขตชลประทานซึ่งต้องอาศัยเพียงน้ำฝนและน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหลักทำให้พืชได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอและไม่เพียงพอ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำมากกว่าโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริประเภทอื่น

ด้านการแพทย์

โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับประชาชนในระยะแรกๆ ล้วนแต่เป็นโครงการด้านสาธารณสุข เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า หากประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดีไปด้วย พระองค์จึงทรงให้ความสำคัญกับงานด้านสาธารณสุขเป็นอย่างมาก ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากดรงพยาบาลต่างๆ และล้วนเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ครบครัน พร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลราษฎรผู้ป่วยไข้ได้ทันที

นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ซึ่งเป็นพระราชดำริที่ให้ทันตแพทย์อาสาสมัคร ได้เดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟัน แก่เด้กนักเรียนและราษฎรที่อาศัยอยู่ในท้องที่ทุรกันดาร และห่างไกลจากแพทย์ทั่วทุกภาค โดยให้การบริการรักษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลค่า ทางด้านหน่วยแพทย์หลวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ประทับแรมทุกแห่งนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้มาขอรับการรักษา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย
ใน พ.ศ. 2554 ทางองค์กรแพทย์ศัลยศาสตร์จากทั่วโลก ต่างพร้อมใจกันถวายใบประกาศเกียรติคุณ เกียรติบัตรสมาชิกกิตติมศักดิ์ และเหรียญสดุดี จากคุณูปการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่พระองค์ทรงอุทิศเพื่อพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชย์

Url=http://www.moe.go.th/PSD/Page%20Design/13_Father_Day/father2012/

ปัญหาของความรุนแรงในวัยรุ่น

ทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ก็ทำไห้เป็นเรื่องใหญ่

และปัญหาอีกอย่างที่การทะเลาะกับพ่อแม่

แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรจะทำ แต่สังคมไทยไม่ควรจะนิ่งนอนใจหรือพึงพอใจว่าได้ขจัดต้นตอการใช้ความรุนแรงไปได้แล้วเพราะในความเป็นจริงนั้น การใช้ความรุนแรงของเด็กมีเงื่อนไขอื่นมากำหนดอีกมากมายตัวอย่างการก่ออาชญากรรมของเด็กวัยรุ่นที่กระทำต่อแท็กซี่และคนทั่วไปที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเล่นเกมมีอีกมากมาย เช่น เด็กจี้แท็กซี่เพราะต้องการเอาเงินไปเที่ยวกลางคืนการตี ฆ่า ข่มขืน ของเด็กแซ็บ เด็กแว้น (เด็กกวนเมือง) ที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหงของสังคมไทยหรือ เด็กผู้หญิงตบตีกันแล้วถ่านคลิปเอาไว้”โชว์พาว” ข่มขู่เด็กอื่นๆ ตัวอย่างมากมายเช่นนี้ชี้ให้ตั้งคำถามได้ทันทีว่า เกมเป็นต้นตอความรุนแรงจริงหรือ หรือว่า เกมจะเป็นเพียงเงื่อนไขการกระตุ้นสำนึกของการใช้ความรุนแรงในการดำเนินชีวิตที่ฝังในเด็กวัยรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ดิฉันนึกถึงข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ว่าวัยรุ่นใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา ทำให้เรามองไปว่าการตัดสินใจของวัยรุ่นไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง และทุกคนที่มองปัญหาความรุนแรงของวัยรุ่นไทยเกิดจากการที่เด็กเล่นเกมหรือการรับวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งที่จริงแล้วมองว่ามันเป็นการโทษกันไปโทษกันมา เพื่อปัดปัญหาให้พ้นตัว เราเคยคิดกันไหมว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมันมาจากการที่เด็กไทยของเราขาดวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ด้วยสภาวะที่เปลี่ยนไปทำให้เราลืมวัฒนธรรมที่ดีงามไป มองกลับมาถ้าเราปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้เขาก็จะสามารถลดปัญหาความรุนแรงของวัยรุ่นลงได้

วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแสดงออกความสามารถ ต้องการการยอมรับ เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ต้องคิดหากิจกรรมที่จะให้เขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการในทางที่ถูกต้อง การที่จะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมความรุนแรงลงได้ต้องใช้เวลานานและต้องอดทนที่จะทำค่อยๆ ปลูกฝังวัฒนธรรมที่ดีงามของเราให้เขาจนเขาสามารถซึมซับได้ เขาก็จะเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาจะทำมันถูกต้อง การกระทบกระทั่งกันมันต้องมีบ้างแต่เราก็ต้องรู้จักที่จะให้อภัยกัน กล่าวคำว่าขอโทษเมื่อเราผิด ยอมถอยออกมาคนละก้าวเพื่อที่จะไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน การใช้ความรุนแรงไม่ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แต่การชนะใจตนเองด้วยการระงับอารมณ์เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

เด็กวัยรุ่นมักมีความรุนแรงมากจนไม่คาดถึง เท่าที่พบเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มีมากมาย สาเหตุพฤติกรรมรุนแรงของเด็กวัยรุ่นที่แสดงออกจากการวิเคราะห์ มักพบว่า นอกจากเด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่แตกแยกทำให้เด็กมีปัญหา เนื่องจากพ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอน และดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กมักขาดระเบียบวินัย และขาดความอดทนต่อการรอคอยแล้วที่น่าสนใจไม่น้อยยังพบว่า เด็กอีกหลายคนที่พ่อแม่ดูแลดีเกินไป ประคบประหงมจนลูกทำอะไรไม่เป็น ไม่เคยต่อสู้อุปสรรคปัญหาใดๆ หรือขาดความเข้มแข็งเปราะบางจนไม่สามารถทนต่อความผิดหวังได้ ในวัยเด็กเล็กการตามใจลูกทำให้เด็กขาดระเบียบวินัย จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กดื้อ เอาแต่ใจตนเองหากไม่ได้ดั่งใจก็จะก้าวร้าวกับพ่อแม่ต่อมาอาการก้าวร้าวจะเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความรุนแรงตามข่าวที่มักพบบ่อยๆ ในวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่เป็นตัวของตัวเองมีความสนใจเข้ากลุ่มเพื่อนและเชื่อฟังเพื่อนมากกว่าผู้ใหญ่ผู้ให้ดังนั้นหากถูกเพื่อนปฏิเสธ หรือมีปัญหาทางการเรียนด้วยแล้วมักถูกเพื่อนชักจูงไปในทางที่ไม่เหมาะสม ยิ่งมีตัวกระตุ้นด้วยการลองดื่มเหล้า หรือสารเสพติดด้วยแล้วยิ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมได้ในที่สุด

การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้นั้นพ่อแม่สามารถฝึกเด็กได้ตั้งแต่ยังเล็ก โดยฝึกให้เขาเคยได้รับความผิดหวังบ้าง เช่น อาจสร้างมุมมองแนวคิดเมื่อเผชิญกับความผิดหวังฝึกให้เขามองโลกในแง่ดี มองถึงอนาคตรวมทั้งข้างหน้ายังมีโอกาสที่ผ่านเข้ามาอีกเรื่อยๆ”ไม่ใช่หมดแล้วหมดเลย แต่โอกาสข้างหน้ายังมีหรือ เสียแล้วเสียไปหาใหม่ดีกว่า” จะทำให้เขามองโลกได้กว้างขึ้น รวมทั้งยังช่วยลดความโกรธ ความเคียดแค้นที่มีอยู่ภายในใจด้วยการให้เขารู้จักเรียนรู้ในการให้อภัยแก่ผู้อื่นและตนเองด้วย ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้รวมทั้งหัดให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ผลการกระทำโดยให้มองแบบลูกโซ่ เช่น ถ้าเขาทำแบบนี้จะเกิดผลอย่างไรต่อใครบ้างนอกจากตนเอง รวมทั้งทำแล้วถ้าผลไม่เป็นตามที่คิดที่หวังจะยอมรับได้หรือไม่ เพื่อให้เด็กสามารถจัดการกับปัญหา และตัดสินใจยอมรับผลที่เกิดขึ้นด้วยตนเองซึ่งสำคัญมากเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

อย่างไรก็ดีหากพ่อแม่ที่คิดว่าลูกโตแล้วฝึกไม่ทันเพราะผ่านการฝึกฝนในวัยเด็กเล็กไปแล้วก็ตาม แต่แต่เรื่องนี้ไม่มีคำว่าสายเกินไป อย่าท้อใจที่จะเริ่มต้นฝึกเด็กด้วยความอดทน เพื่อให้เขาปรับตัวและมีชีวิตที่เป็นสุขกับสังคมรอบข้างได้เป็นอย่างดีในต่อไป

วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแสดงออกความสามารถ ต้องการการยอมรับ เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ต้องคิดหากิจกรรมที่จะให้เขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการในทางที่ถูกต้อง การที่จะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมความรุนแรงลงได้ต้องใช้เวลานานและต้องอดทนที่จะทำค่อยๆ ปลูกฝังวัฒนธรรมที่ดีงามของเราให้เขาจนเขาสามารถซึมซับได้ เขาก็จะเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาจะทำมันถูกต้อง

Url=http://khuantongpan.blogspot.com/2011/11/blog-post_5615.html

ประวัติวันลอยกระทง

วันลอยกระทงเป็นวันที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทยที่จัดกันทั่วทุกภาค

และเป็นความเชื่อของคนไทยที่เป็นการขอขมาแม่น้ำ

ประวัติวันลอยกระทง

              เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่(เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา”มักจะ” ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง

ผู้คนจะพากันทำ “กระทง” จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า “ลอยโคม” หรือ “ว่าวฮม” หรือ “ว่าวควัน” ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า “ยี่เป็ง” หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)

จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า “กระทงสาย”

จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า “ไหลเรือไฟ”

กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง

ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ประวัติ

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย

ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า “นางนพมาศ”

ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง

# เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
# เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
# เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
# ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารไ

url=http://blog.eduzones.com/rangsit/12371